ด้าน
ผศ.นพ.ศิริไชย หงส์สงวนศรี หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เด็กที่มีอาการปัสสาวะรดที่นอนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ
แต่อาจมีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบประสาทที่ควบคุมได้
พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่า
ตัวเด็กเองก็ไม่อยากให้ตนเองปัสสาวะรดที่นอนเหมือนกัน แต่เขาไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ
จึงไม่ได้เป็นความผิดของเด็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการลงโทษโดยไม่เหมาะสม
ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาด้านจิตใจ
แต่เด็กอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการปัสสาวะรดที่นอน ได้แก่ ความรู้สึกอับอาย
ขาดความมั่นใจในตัวเอง วิตกกังวล และปัญหาด้านสังคม เป็นต้น
6 หลักในการปฏิบัติ สำหรับเด็กที่ปัสสาวะรดที่นอน
1.การจูงใจให้เด็กต้องการควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง
ด้วยการพูดถึงผลดีที่จะเกิดขึ้นตามมา เช่น พ่อแม่รู้สึกดีใจ
เด็กสามารถไปนอนนอกบ้านหรือเข้าค่ายกับเพื่อนได้โดยไม่ต้องกังวลใจ รวมทั้งความรู้สึกมั่นใจในตนเอง
เป็นต้น
2.งดอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลา
1-2 ชั่วโมงก่อนนอน โดยเฉพาะอาหาร และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เช่น
น้ำอัดลมบางชนิด และชาเขียว เป็นต้น เนื่องจากสารกาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
และเครื่องดื่มเหล่านี้มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบประมาณ 10 ม.ก./100 ม.ล.
3.ให้ปัสสาวะก่อนเข้านอนทุกคืน
4.เน้นให้การฝึกควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนเป็นความรับผิดชอบของเด็กเอง
ตั้งแต่ให้บันทึกอาการปัสสาวะรดที่นอนด้วยตนเอง
ลุกขึ้นมาปัสสาวะเองถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะ
และให้มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนหรือทำความสะอาดเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอน
5.งดการปลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน
เพราะอาจทำให้เด็กหยุดปัสสาวะรดที่นอนได้ช้ากว่าไม่ปลุก
และมักทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และเด็ก
6.ใช้หลักพฤติกรรมบำบัด
คือให้แรงเสริมทางบวก เมื่อเด็กสามารถควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้
โดยให้เด็กติดสติ๊กเกอร์รูปที่ตนเองชอบลงบนปฏิทิน ในวันที่ไม่ปัสสาวะรดที่นอน
และพ่อแม่ควรให้รางวัลด้วยการพูดชมเชย ให้ของเล่น หรือให้สิทธิประโยชน์บางอย่าง
เป็นต้น
อย่างไรก็ตามนั้น
พ่อแม่ต้องช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์
และพิจารณาให้รางวัลที่มีคุณค่ามากขึ้น
ถ้าเด็กควบคุมการปัสสาวะรดที่นอนได้มากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไปด้วย
ที่มา
: หนังสือพิมพ์ข่าวสด