วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคความดันโลหิตต่ำ ภัยร้ายที่ไม่อาจมองข้าม



เป็นที่ทราบกันว่าโรคความดันโลหิตสูงนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จึงทำให้ผู้คนเอาใจใส่และให้ความสำคัญทว่าภัยของโรคความดันโลหิตต่ำนั้นคนทั่วไปมักไม่รู้เท่าทัน เรามักจะพบผู้ป่วยที่มีอาการวิงเวียนหน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่สดชื่นแม้ว่านอนหลับและทานอาหารได้ดีตามปกติ อีกทั้งยังเสริมอาหารและวิตามินบำรุงร่างกายอย่างเต็มที่ ส่วนด้านการงานก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยและไม่มีความกดดัน ทว่ายังคงรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง โดยเฉพาะหลักจากรับประทานอาหารมือกลางวันแล้วจะรู้สึกง่วงซึม เรี่ยวแรงหดหาย นั่งฟุบโต๊ะหาวหวอดๆ จนน้ำหูน้ำตาไหล ไม่มีสมาธิในการทำงานยิ่งไปกว่านั้นอาจมีอาการใจสั่น ขี้หนาว ในขณะที่เพื่อนร่วมงานล้วนคิดว่าอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศกำลังพอเหมาะแต่ตนเองกลับรู้สึกว่าช่างหนาวเย็นจับใจจนต้องสวมเสื้อคลุมทับ แต่พอไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกลับไม่พบความผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรตรวจวัดความดันโลหิตเพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาการที่เกิดขึ้นจะเป็นผลมาจากความดันโลหิตต่ำ




          อย่างไรถึงเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ...


          โดยทั่วไปในทางการแพทย์ ความดันโลหิตของผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) และความดันโลหิตของผู้สูงอายุที่ต่ำกว่า 100/70 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) จะถูกจัดว่าเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ ซึ่งจะพบบ่อยในสตรีที่ร่างกายอ่อนแอ ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตต่ำ



          ความดันโลหิตต่ำมีชนิดใดบ้าง...

          ความดันโลหิตต่ำแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โดยความดันโลหิตต่ำชนิดเฉียลพลันหมายถึงว่า ความดันโลหิตต่ำลงอย่างฮวบฮาบจากเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะแสดงอาการหลัก ๆ คือ หน้ามืดและช็อคหมดสติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นลมหรือหัวใจล้มเหลว แต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เราพูดถึงกันโดยทั่วไปนั้นหายถึงความดันโลหิตต่ำชนิดเรื้อรัง ซึ่งแบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้


          1.ความดันโลหิตต่ำที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือไม่ทราบสาเหตุ: ส่วนใหญ่พบว่าเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือรูปร่างที่อ่อนแอผอมบาง ซึ่งมักจะพบในหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวและผู้สูงอายุ บางรายไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใด ๆ แต่ในรายที่เป็นมากอาจจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใจสั่น วิงเวียน ศีรษะ ปวดศีรษะหรืออาจจะถึงขั้นเป็นลม โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงอาการจะยิ่งชัดเจนขึ้น


          2.ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถ: หมายถึงความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนท่าทางจากการนอนมาเป็นการนั่งหรือยืนในทันที หรือมีการยืนนาน ๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติจนเกิดอาการเวียนศีรษะ ตาพร่า คลื่นไส้ ใจสั่น ปวดต้นคอ ปวดหลังฯลฯ


          3.ความดันโลหิตต่ำจากการใช้ยาหรือการเจ็บป่วยของร่างกาย: เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ วัณโรค โรคหัวใจรูมาติก ขาดสารอาหารเรื้อรัง ยาลดความดันโลหิต ยากกล่อมประสาท ยาต้านโรคซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงใช้ยาความดันมากเกินขนาดเพื่อให้ความดันโลหิตต่ำลงโดยเร็วและลดต่ำลงมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างเฉียบพลันหลังปัสสาวะ เนื่องจากปัสสาวะถูกขับออกไปทำให้ความดันในช่องท้องลดต่อลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่กลับไปสู่หัวใจลดน้อยลงด้วย ทำให้เกิดอาการเป็นลมเนื่องจากความดันโลหิตต่ำลงอย่างเฉียบพลันซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระหว่างที่ผู้สูงอายุตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึง



          โรคความดันโลหิตต่ำมีอาการอย่างไร

          ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำบางรายจะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใด ๆ แต่บางรายจะมีอาการหูอื้อ ปวดศีรษะ ตาลาย ปวดหลังและบั้นเอว มือเท้าเย็น อ่อนเพลีย สมองล้า ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ หรือรู้สึกว่าสมองถูกบีบคั้น ปวดแสบปวดร้อน หรือท้องเดิน ท้องผูก มีแก๊สสะสมในลำไส้ ท้องอืดท้องเฟ้อ อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือประจำเดือนมาผิดปกติ ฯลฯ



          อันตรายจากความดันโลหิตต่ำไม่อาจมองข้ามได้

          คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าความดันโลหิตและไขมันในเลือดนั้นเหมือนกันคือยิ่งต่ำยิ่งดี ทว่าแม้จะต่ำก็ต้องมีขีดจำกัด หากความดันโลหิตต่ำเกินไปย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง เลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ง่ายต่อการเกิดลิ่มเลือดทำให้หลอดเลือดอุดตัน หลอดเลือดฝอยส่วนปลายในร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยง รวมท้งเกิดการคั่วของคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียจากกระบวนการเมตาบอลิซึมและที่สำคัยคือ อาจจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสมองเนื่องจากขาดออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หน้ามืด ขี้หลงขี้ลืมสมองล้า ไม่มีสมาธิฯลฯ หากไม่มีการบำบัดอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง ความสามารถในกาองมองเห็นและการได้ยินลดลง อ่อนเพลียซึมเศร้าก่อให้เกิดอาการอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุหรือเป็นตัวเร่งอาการให้หนักขึ้นหรืออาจส่งผลให้หกล้มเนื่องจากเป็นลม ทำให้กระดูกหักได้ อีกทั้งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย



          การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดโรคความดันโลหิตต่ำอย่างไร...

          การแทพย์จีนได้จัดโรคความดันโลหิตต่ำให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากการพร่องลงของพลังซี่และเลือดในร่างกายหรือที่เรียกว่าชี่พร่อง-เลือดพร่องนั่นเอง เลือดกับพลังชี่มีคุณสมบัติต่างกันคือ เลือดเป็นหยินชอบอยู่นิ่งและให้ความชุ่มชื้น ส่วนพลังชี่เนหยางชอบความเคลื่อนไหวและให้ความอบอุ่น ความสัมพันธ์ของเลือดกับพลังชี่แท้ที่จริงแล้วก็คือความสัมพันธ์ของหยิน-หยางในระบบการไหลเวียนของเลือดนั่นเอง


          -เลือดกับพลังชี่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน; กระบวนการเกิดและการสร้างเลือดต้องอาศัยพลังชี่และการเคลื่อนไหวของพลังชี่ ถ้าพลังชี่สมบูรณ์ เลือดก็จะสร้างขึ้นมาได้อย่างเพียงพอ และในทางกลับกันพลังชี่ก็ต้องอาศัยเลือดไปหล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้น การไหลเวียนของเลือดจะนำพาพลังชี่ไปสู่ทุก ๆ เซลล์ของร่างกาย ถ้าเลือดพร่องลง พลังชี่ก็จะพร่องตามไปด้วย ทำให้ชี่พร่องและเลือดพร่องมักจะเกิดขึ้นร่วมกันอยู่เสมอ 



          -พลังชี่ผลักดันการไหวเวียนของเลือด: เลือดเป็นหยินชอบอยู่นิ่งไม่สามารถไหลเวียนได้เองต้องอาศัยแรงผลักดันจากพลังชี่ จึงกล่าวได้ว่า พลังวิ่งเลือดเดิน พลังนิ่งเลือดหยุด ถ้าพลังชี่พร่องลง เลือดก็จะไหลเวียนช้าลง ทำให้ชี่และเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายอย่างทั่วถึงส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ อวัยวะต่าง ๆ ได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้


          การแพทย์แผนจีนจึงนิยมให้วิธีบำรุงชี่-บำรุงเลือดเพื่อบำบัดภาวะความดันโลหิตต่ำ เมื่อชี่-เลือดในร่างกายสมบูรณ์ขึ้น ความดันโลหิตก็จะค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคความดันโลหิตต่ำก็จะทุเลาลงหรือหายไปในที่สุด



          วิธีการดูแลร่างกายสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ


          1.วัดความดัน: หมั่นวัดระดับความดันโลหิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิตในร่างกาย



          2.พักผ่อนให้เพียงพอ:  ความเหน็ดเหนื่อย การนอนหลับไม่เพียงพอต่างก็ยิ่งทำให้ความดันโลหิตต่ำลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการตรากตรำทำงานเกินควร หลีกเลี่ยงการนอนดึก และเวลานอนหลับไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป



          3.หลีกเลี่ยงการยืนนาน ๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบทอย่างรวดเร็วเกินไป: การเก็บของไม่ควรก้มศีรษะลงโดยตรงแต่ควรทรุดตัวนั่งยอง ๆ ลงก่อน ยามตื่นนอนไม่ควรลุกยืนขึ้นมาในทันทีทันใด แต่ควรรอให้แน่ใจว่าร่างกายเข้าที่เข้าทางแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น



          4.ใส่ใจสภาพแวดล้อมและการแต่งกาย: ไม่ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศร้อนอบอ้าวนานเกินไป เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ความดันโลหิตต่ำลง นอกจากนี้การผูกเน็คไทแน่นเกินไป การสวมเสื้อที่มีปกเสื้อสูงหรือคอเสื้อแคบเกินไปอาจจะไปกดทับหลอดเลือดแดงบริเวณต้นคอส่งผลให้ความดันต่ำลงจนหน้ามืดเป็นลมได้



          5.เพิ่มสารอาหารให้เพียงพอ: ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำนั้น หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจะทำให้ความดันโลหิตยิ่งต่ำลงไปอีก แต่หากเสริมอาหารให้เพียงพอจะช่วยให้ความดันโลหิตเข้าใกล้ระดับปกติมากยิ่งขึ้นอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่จะลดลงหรือหายไปได้

          6.ลดการรับปรทานอาหารที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง: เช่น เชลเลอรี ฟักเขียว ถั่วเขียว มะระ หอมหัวใหญ่ สาหร่ายทะเล หัวไชเท้า เป็นต้น


          7.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายทำให้ระบบประสาทเกิดความสมดุล หลอดเลือดหัวใจแข็งแรงทั้งยังรักษาความดันโลหิตต่ำให้ดีขึ้น



          8.เลือกประเภทการออกกำลังอย่างเหมาะสม: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบท ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่ต้องยืนนาน ๆ หรือต้องเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ ส่วนผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำจากโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายก่อนการออกกำลังควรตรวจสอบสมรรถภาพร่างกายก่อนทางที่ดีควรออกกำลังภายใต้คำแนะนำของแพทย์และครูผู้เชี่ยวชาญ



          9.ใช้ยาอย่างระมัดระวัง: หากต้องไปพบแพทย์เนื่องจากอาการเจ็บป่วยใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าว่าตนมีอาการความดันโลหิตต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงไปอีก

          

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

'บุหรี่' สารพัดโรคอันตราย


เผยข้อมูลจาก CDC (Centers of Disease Control and Prevention) ของสหรัฐอเมริกาปี 2543-2547 พบว่าการสูบบุหรี่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตในโรคสำคัญ มะเร็งปอดอันดับหนึ่ง

นพ.เจษฎา มณีชวขจร อายุรแพทย์มะเร็ง รพ.ราชวิถี กรรมการสมาคมมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย และแพทย์จากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกมาเผยข้อมูลจาก CDC (Centers of Disease Control and Prevention) ของสหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อปี 2543-2547 พบว่าการสูบบุหรี่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตในโรคสำคัญต่างๆ ดังนี้ 1. มะเร็งปอด 29 เปอร์เซ็นต์ 2. มะเร็งชนิดอื่นๆ 8 เปอร์เซ็นต์ 3. หัวใจขาดเลือด 28 เปอร์เซ็นต์ 4. ถุงลมปอดโป่งพอง 21 เปอร์เซ็นต์ 5. สมองขาดเลือด 4 เปอร์เซ็นต์ และโรคอื่นๆ 10 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีสารหลายชนิดในส่วนประกอบของบุหรี่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ได้แก่ 1. สารทาร์ หรือน้ำมันดิน เป็นส่วนประกอบสำคัญของใบยาสูบ มีลักษณะเหนียว สีน้ำตาลเข้ม เป็นสารก่อมะเร็ง โดยสารที่เรียกว่า Benzopyrene สารนี้ก่อการระคายเคืองเรื้อรัง ทำให้มีอาการไอ ถุงลมโป่งพอง 2. สารกัมมันตรังสี ในควันบุหรี่มีสารโพโลเนียม–210 ที่ให้รังสีแอลฟา ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งอีกส่วนหนึ่ง และ 3. ยาฆ่าแมลงหรือสารตกค้างในใบยาสูบจากการพ่นสารพิษเพื่อฆ่าแมลง


แม้บุหรี่จะมีไส้กรองด้านท้ายบุหรี่ก่อนสูบเข้าสู่ร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถกรองสารพิษเหล่านี้ได้ ในทางตรงกันข้าม การกรองสารเหล่านี้ให้ผ่านเข้าทางเดินหายใจด้วยขนาดเล็กลง จะทำให้เข้าสู่ถุงลมส่วนปลายได้ง่ายและเร็วขึ้น ในระยะหลังจึงพบพยาธิสภาพที่หลอดลมส่วนปลาย หรือถุงลมได้มากขึ้น และมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น ไม่เหมือนหลอดลมส่วนต้น ผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนปลาย หรือบริเวณถุงลมปอด มักมาพบแพทย์ช้า

เนื่องจากในช่วงแรกไม่ค่อยมีอาการจนเมื่อเป็นมาก มีอาการเหนื่อยจึงมาพบแพทย์การรักษาด้วยยาเฉพาะจึงทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แข็งแรงเพียงพอ ในสภาวะนี้ที่จะรับยาเคมีบำบัดหรือรับยาไม่เต็มที่ และผลตอบสนองต่อการรักษาที่ทำให้โรคมีขนาดเล็กลงก็มีไม่ถึงครึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงคงที่หรือชะลอโรคเท่านั้น



การป้องกันหรือเฝ้าระวังในผู้ป่วยสูบบุหรี่ แม้จะพยายามเอกซเรย์ปอดทุก 6-12 เดือน ก็ไม่สามารถป้องกันได้เต็มที่ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเพียง 1-2 เดือนเท่านั้น การเลี่ยงบุหรี่หรือลดความเสี่ยงน่าจะเป็นคำตอบมากกว่า โดยที่ถ้างดสูบบุหรี่ในวันนี้ จะส่งผลให้อุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งปอดลดลงเท่าคนไม่สูบบุหรี่ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า และโรคมะเร็งปอดส่วนใหญ่มักเป็นในอายุ 50-60 ปี ดังนั้น ท่านหรือคนใกล้ชิดท่านจึงไม่ควรรอที่จะงดสูบบุหรี่

สำหรับสถิติในประเทศไทย จากการสำรวจในปี 2544 พบว่ามีผู้สูบบุหรี่เป็นประจำจำนวน 10.6 ล้านคน หรือร้อยละ 20.6 ของประชากรที่มีอายุมากกว่า 11 ปี  แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ มีการจำกัดอายุผู้ซื้อบุหรี่ มีการปกปิดเลี่ยงการโฆษณาสินค้าบุหรี่ทั้งในจุดจำหน่ายและผ่านสื่อ รวมถึงการแสดงคำเตือนหน้าซองบุหรี่ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทำให้ผู้สูบบุหรี่ลดปริมาณได้มากนัก เนื่องมาจากการไม่เอาจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปมักละเลยในการแจ้งผู้เกี่ยวข้องให้ทำหน้าที่ จึงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับผู้สูบบุหรี่ (passive smoker)

เมื่อเกิดผลกระทบจากพิษภัยบุหรี่ ท่านที่มีคนใกล้ชิดเป็นโรคเหล่านี้ ได้แก่ มะเร็งปอด, ถุงลมโป่งพอง, หัวใจขาดเลือด เป็นต้น คงทราบดีว่าต้องมีภาระที่จะต้องดูแลผู้ป่วยเหล่านี้มากเพียงใด รวมทั้งมีภาระค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในโรคมะเร็งที่รักษาไม่หายขาด ได้แต่บรรเทาอาการ ถ้าผู้ป่วยเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญเป็นเสาหลักของครอบครัว ก็เท่ากับทำให้ครอบครัวเหล่านั้นเดือดร้อนและเป็นภาระต่อสังคมรวมถึงประเทศชาติ

เนื่องในโอกาสวันที่ 31 พ.ค.ของทุกปี ซึ่งเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก เราจึงควรเลือกเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามเลิกสูบบุหรี่ อย่างน้อยก็คนใกล้ตัวหรือตนเอง เพื่อนสนิท ผู้ร่วมงาน รวมถึงผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือที่ยังสูบบุหรี่อยู่ สำหรับบุคคลทั่วไปก็ควรทำหน้าที่แจ้งเตือนผู้สูบบุหรี่ หรือผู้เกี่ยวข้องที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง ส่วนหน่วยงานภาครัฐก็น่าจะทำให้บุหรี่ซื้อหาได้ยากขึ้น หรือจัดอยู่หมวดสินค้าควบคุม ที่อาจเสพติดได้ เช่น ยานอนหลับ ซึ่งไม่อาจซื้อได้ในสถานที่ทั่วไป รวมทั้งเข้มงวดกวดขันการจำหน่ายบุหรี่ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ซึ่งเรามักพบในตลาดทั่วไปหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ต่างประเทศหรือบุหรี่ในประเทศที่ขายทั้งใบยาและเครื่องมวนบุหรี่เอง

นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐยังควรส่งเสริมการเลิกบุหรี่โดยตั้งเป็นศูนย์บำบัด เช่นเดียวกับยาเสพติดโดยใช้งบประมาณไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากภาษีบุหรี่ที่ได้รับมาดีกว่านำเงินนี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่นๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณโดยรวมของประเทศ และได้กำลังสำคัญของชาติกลับคืนมา





ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และ webสสส.




สารพิษในควันบุหรี่...




“บุหรี่” จัดเป็นยาเสพติดประเภทหนึ่งที่ให้โทษแก่ผู้เสพอย่างมากมาย เชื่อหรือไม่ว่า ในบุหรี่ 1 มวน เมื่อเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิงต่างๆ และจากการสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดสารเคมีต่างๆ มากกว่า 7,000 ชนิด ในจำนวนนี้เป็นสารพิษที่ก่อมะเร็งได้มากถึง 70 ชนิดเลยทีเดียว

ที่มา : เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่

วันงดสูบบุหรี่โลก




       วันงดสูบบุหรี่โลก (อังกฤษ: World No Tobacco Day)                              ตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 
        โดยองค์การอนามัยโลก เพื่อให้เห็นอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพ ของผู้สูบบุหรี่และผู้ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่ การจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลก ตระหนักถึงความสำคัญและเข้าร่วมกิจกรรม


ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลินิกจะปิดทำการ วันวิสาขบูชา วันที่ 24 พฤษภาคม 2556



ศูนย์เส้นเลือดขอด เส้นฟอกไต
By : คลินิกหมอกิตติพันธุ์ หมออมราภรณ์ 
          สำหรับผู้ป่วยหรือญาติที่ต้องการปรึกษา สามารถติดต่อได้ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ให้ไว้ นะคะ  หากท่านไหนไม่สะดวกในการโทรศัพท์มาสอบถาม ก็สามารถเขียนข้อความส่งมาทาง E mail : clinicdrkittipan@gmail.com  ทาง Facebook ของคลินิก หรือสอบถามผ่านทาง Blog นี้ได้เลยค่ะ
 ทางคลินิกจะหาบทความน่ารู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและญาติ อย่างต่อเนื่องค่ะ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรับการรักษากับทางคลินิก  ทั้งนี้จะขอแจ้งให้ทราบว่า คลินิกจะปิดทำการ วันวิสาขบูชา วันที่ 24  พฤษภาคม  2556   ค่ะ
ขอให้สนุกและ ปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดยาวค่ะ

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลินิกจะปิดทำการ ระหว่างวันที่ 5 – 8 พฤษภาคม 2556 ค่ะ




ศูนย์เส้นเลือดขอด เส้นฟอกไต
By : คลินิกหมอกิตติพันธุ์ หมออมราภรณ์ 
          สำหรับผู้ป่วยหรือญาติที่ต้องการปรึกษา สามารถติดต่อได้ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ได้ให้ไว้ นะคะ  หากท่านไหนไม่สะดวกในการโทรศัพท์มาสอบถาม ก็สามารถเขียนข้อความส่งมาทาง E mail : clinicdrkittipan@gmail.com  ทาง Facebook ของคลินิก หรือสอบถามผ่านทาง Blog นี้ได้เลยค่ะ
 ทางคลินิกจะหาบทความน่ารู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและญาติ อย่างต่อเนื่องค่ะ สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการรับการรักษากับทางคลินิก  ทั้งนี้จะขอแจ้งให้ทราบว่า คลินิกจะปิดทำการ ระหว่างวันที่  5 – 8  พฤษภาคม  2556  ค่ะ และจะเปิดให้บริการตามปรกติในวันพฤหัสบดีที่  9  พฤษภาคม  2556  เวลา 17.00 – 20.00 น.ค่ะ..