วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง





คลินิกเส้นฟอกไต 
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์ สวัสดีค่ะ

   วันนี้ทางคลินิกขอนำข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เพื่อเป็นความรู้กับทุกๆ ท่านนะคะ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความดันโลหิต  วิธีการสังเกต  ภาวะของร่างกาย  แผนรายการงานฟอกเลือด และลักษณะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ไปติดตามอ่านกันเลยค่ะ





การดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง  ซึ่งควรจะสังเกตได้ดังนี้
(สำหรับฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม)

1. ชั่งน้ำหนัก  -  ไม่ให้เกิน 1 กิโลกรัมต่อวัน
2. ความดันโลหิต  -  ก่อนฟอกต้องไม่เกิน 140/80  ถ้าเกินมีผลทำให้หัวใจโต (ทำให้การทำงานไม่ดี  หัวใจอาจล้มเหลวได้ และทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง) หากเกินจะต้องดูว่าเกิดจากอะไรบ้าง เช่น
 a. น้ำ
 b. ความเครียด
 c. ฮอร์โมนเรนนิน  -  ไตจะสร้างสารเรนนินเมื่อขาดน้ำ เช่น ท้องเสีย  เสียเลือด  ไตจะขับเรนนิน เพื่อเพิ่มความดันโลหิต  ทำให้เส้นเลือดหดลง และกระตุ้นความดันโลหิตสูง (ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น)

วิธีไม่ให้เกิดความดันโลหิตสูง 
คือ กินยาลดความดัน ACEI (ตัวยับยั้งเรนนิน)  ยับยั้งให้เส้นเลือดขยายตัว

3. ของเสียในร่างกาย (Bun, Creatinin)  ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ ทำให้เส้นเลือดหดตัวทำงานมากกว่าเส้นเลือดคลายตัว --  ทำให้ความดันโลหิตสูง (จะต้องฟอกเลือดให้พอเพียง)  โดยจะวัดค่าได้จากตัวกรอง

4.  ภาวะซีด  ทำให้หัวใจทำงานหนัก  เลือดเป็นตัวนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย  ไตวายไม่สามารถสร้างอีริโพรอยตินจากไต  ทำให้เหลือต่อมอีริโพรอยตินจากตับ ซึ่งจะมีแค่ 10% เท่านั้น (หัวใจจะบีบตัวเร็วขึ้น  มีผลทำให้เส้นเลือดหดตัวลง ทำให้ความดันโลหิตสูง


แผนรายงานการฟอกเลือด (ตัวชี้วัด) 

- ไปถึงเป้าหมาย  - จะทำให้สุขภาพดี

1.  ความดันก่อนฟอก ไม่เกิน 140/90 และไม่ต่ำกว่า 100/60   ความดันหลังฟอก ไม่เกิน 140/90 และไม่ต่ำกว่า 100/60 หากอยู่ในระดับนี้หัวใจจะทำงานปกติ  หากสูงเกินกว่านี้ หัวใจจะทำงานหนัก  และหากต่ำกว่านี้หัวใจจะทำงานน้อย
-  ระยะเวลาขณะฟอกเลือด ความดันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่จะ บวกลบได้ 20 มิลลิเมตรปรอทจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ
-  แต่หากขณะฟอกความดัน  140/90  สูงถึง  160/90  ต้องระวังเส้นเลือดแตกหรือตีบ
-  ในการฟอกเลือดทุกครั้งจะต้องถามข้อมูลกับพยาบาลทุกครั้ง
-  ความดันจะเปลี่ยนแปลงมากหรือน้อยระหว่างฟอกเลือด ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดึงออก
-  เปลี่ยนแปลงจากยาความดันที่ถูกฟอกออกไป หากสูงขึ้นเรื่อยๆจะต้องขอยาความดันประเภท เนฟราปีน (Nelapine 5 mg.) เป็นยาความดันที่ออกฤทธิ์ในระยะสั้น

2.  น้ำหนักก่อนฟอก ต้องไม่เกิน 1 กิโลกรัมต่อ 1 วัน  หัวใจ และ ความดันโลหิตจะทำงานปกติไม่เกิดหัวใจโต หรือความดันโลหิตสูง

3. น้ำหนักที่เหมาะสมกับตัวเรา (Dry weight)  หากภายใน 1 เดือนลดลง 1-2  กิโลกรัมจะต้องดูว่าเรามีส่วนผิดปกติในร่างกายหรือไม่  หากลดผิดปกติมากอาจจะเป็นมะเร็งได้ ควรจะไปตรวจร่างกายดู

4.  โปแตสเซียม (Potassium)  ต้องไม่เกิน 4.5  หากเกินจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้ระบบประสาทช้า อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้  ควรปรับการกิน ผัก และผลไม้

5.  ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ต้องไม่เกิน 5.5   เป็นตัวเกลือแร่ที่ใช้สร้างกระดูกคู่กับแคลเซียม

อัตราส่วนตามธรรมชาติ
Calcium * Phosphate ต้องไม่เกิน  50-55
· หากสูงจะจับตามเนื้อเยื่อต่างๆ  ถ้าแคลเซียมเกาะที่ลิ้นหัวใจ จะเป็นอันตราย  และหากเกาะที่ผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคัน  ถ้าเกาะที่ดวงตา ตาจะขาวและมีเส้นเลือดเกาะที่ตารอบตาจะแดง
วิธีการป้องกัน คือใช้ยาไปจับและขับออกทางปัสสาวะ และลดฟอสเฟต

6.  แคลเซียม (Calcium)  ต้องอยู่ระหว่าง  9-10  หากต่ำจะทำให้กระตุ้นพาราไธรอยด์ให้ทำงานหนัก (จะสลายกระดูกทำให้เกิดภาวะกระดูกผุ)

ตัวสร้างกระดูก
      - เกลือแร่
      - แคลเซียม มีความสำคัญต่อการทำงานของกระดูกและกล้ามเนื้อ
      - ฟอสฟอรัส ถ้าต่ำจะดึงแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้กระดูกบาง
      - วิตามินดี (Vitamin D)  จะช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้
      - พาราไทรอยด์ฮอร์โมน จะต้องอยู่ในระดับเหมาะสม
ผิวหนังจะเป็นตัวสร้างวิตามินดี และจะแปลงเป็นตัวสร้างที่ตับ แต่จะต้องผ่านการสังเคราะห์ที่ไตก่อน  แต่คนที่เป็นโรคไตไม่สามารถสังเคราะห์ได้ดังนั้นจะต้องกินวิตามินดีแทน
     -พาราไธรอยด์ฮอร์โมน  มากับ แคลเซียมและฟอสฟอรัส  จะต้องมีระดับที่ปกติไม่เกิน 150-200  วิธีการยับยั้งคือกิน วิตามินดี  เพื่อยับยั้งการทำงานของพาราไธรอยด์ ตัวสำคัญที่ต้องควบคุม คือ ฟอสฟอรัส  หากพาราไธรอยด์ต่ำ ก็จะไม่มีการสร้าง ทำให้กระดูกอ่อนได้
    - ภาวะซีด (Hematokit)  จะต้องอยู่ระหว่าง  33 - 36 เปอร์เซ็นต์  หัวใจจะทำงานปกติ
   -  ธาตุเหล็ก (Ferritin)  จะต้องมีธาตุเหล็กเพียงพอกับร่างกาย  ในคนไข้โรคไตแพทย์มักจะให้ FBC  FeSo4 Venofer  Vitamin B  Folic acid ทำให้ไขกระดูกสร้างเลือดได้ และจะต้องมีฮอร์โมนอีรีโพรอยติน (สร้างไขกระดูก)
  
        ธาตุเหล็กมีอยู่ในเม็ดเลือด คนให้เลือดบ่อยๆจะมีธาตุเหล็กสูง คนที่ฉีดยา EPO (ค่าธาตุเหล็กที่ยอมรับได้คือ 600) ร่างกายจะไม่มีธาตุเหล็ก เกณฑ์ธาตุเหล็กปกติอยู่ที่  100-200
ในการฟอกเลือดจะต้องเสียเลือดไปประมาณ 50 ซีซี ต่อการฟอก 1 ครั้ง ทำให้เสียธาตุเหล็กไป 1 กรัม

      การกินยา FBC จะดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง หากกินหลังอาหารเลยจะดูดซึมช้า

สาเหตุการขาดธาตุเหล็ก
- เสียเลือด
- สารอาหารไม่พอเพียง
- ภาวะธาตุเหล็กเกิน
- ภาวะธาตุเหล็กไม่ทำงาน
- ภาวะธาตุเหล็กต่ำ

-  หากกรณี ฉีด EPO แล้ว  ธาตุเหล็ก ก็มีค่าสูง  เกิดจากธาตุเหล็กไม่ทำงาน (ร่างกายไม่สามารถสร้างเลือดได้)  หรือเกิดการอักเสบในร่างกาย  ฟอกไม่เพียงพอ  เกิดจากการติดเชื้อ

-  คนที่มี ไวรัสตับอักเสบ ค่าความเข้มข้นของเลือดจะสูง เพราะตับทำงานทำให้เกิดการสร้างเลือด

7.  โปรตีนในเลือด (Albumin)  ตัวสร้างภูมิคุ้มกัน  บ่งบอกถึงภาวะโภชนาการ  จะต้องมีค่าไม่ต่ำกว่า 4  หากต่ำกว่าจะทำให้ติดเชื้อง่าย  หากต่ำให้กินไข่ขาว

- MPCR -  ตัวบ่งบอกภาวะโภชนาการ  โดยวัดจากของเสีย (0.8-1.2)
-  หากสูง  ของเสียเกิน
-  หากต่ำ  ขาดสารอาหาร
- kt/v -  ตัวชี้วัดในการฟอก (วัดจากค่าของเสียในร่างกาย)  คำนวณอัตราจากการกำจัดของเสีย โดย

-  หากฟอก 3 ครั้ง/สัปดาห์   ค่าที่ยอมรับได้คือ   1.2  ขึ้นไป

-  หากฟอก 2 ครั้ง/สัปดาห์   ค่าที่ยอมรับได้คือ   1.8  ขึ้นไป

-  อัตราการฟอกเลือดที่ดี จะต้องมีเส้นเลือดที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมเพื่อนโรคไต ประเทศไทย