คลินิกรักษาและให้คำปรึกษา โรคเส้นเลือดขอด ทำเส้นฟอกไต โรคหลอดเลือด แผลเรื้อรัง ทำเส้นให้ยาเคมีบำบัด โรคหู คอ จมูก ไซนัส ภูมิแพ้ อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ โทร.053-413066
วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555
การดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
คลินิกเส้นฟอกไต
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์ สวัสดีค่ะ
วันนี้ทางคลินิกขอนำข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เพื่อเป็นความรู้กับทุกๆ ท่านนะคะ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความดันโลหิต วิธีการสังเกต ภาวะของร่างกาย แผนรายการงานฟอกเลือด และลักษณะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ไปติดตามอ่านกันเลยค่ะ
การดูแลสุขภาพเบื้องต้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
เกี่ยวกับความดันโลหิตสูง ซึ่งควรจะสังเกตได้ดังนี้
(สำหรับฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม)
1. ชั่งน้ำหนัก - ไม่ให้เกิน 1 กิโลกรัมต่อวัน
2. ความดันโลหิต - ก่อนฟอกต้องไม่เกิน 140/80 ถ้าเกินมีผลทำให้หัวใจโต (ทำให้การทำงานไม่ดี หัวใจอาจล้มเหลวได้ และทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง) หากเกินจะต้องดูว่าเกิดจากอะไรบ้าง เช่น
a. น้ำ
b. ความเครียด
c. ฮอร์โมนเรนนิน - ไตจะสร้างสารเรนนินเมื่อขาดน้ำ เช่น ท้องเสีย เสียเลือด ไตจะขับเรนนิน เพื่อเพิ่มความดันโลหิต ทำให้เส้นเลือดหดลง และกระตุ้นความดันโลหิตสูง (ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น)
วิธีไม่ให้เกิดความดันโลหิตสูง
คือ กินยาลดความดัน ACEI (ตัวยับยั้งเรนนิน) ยับยั้งให้เส้นเลือดขยายตัว
3. ของเสียในร่างกาย (Bun, Creatinin) ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ ทำให้เส้นเลือดหดตัวทำงานมากกว่าเส้นเลือดคลายตัว -- ทำให้ความดันโลหิตสูง (จะต้องฟอกเลือดให้พอเพียง) โดยจะวัดค่าได้จากตัวกรอง
4. ภาวะซีด ทำให้หัวใจทำงานหนัก เลือดเป็นตัวนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย ไตวายไม่สามารถสร้างอีริโพรอยตินจากไต ทำให้เหลือต่อมอีริโพรอยตินจากตับ ซึ่งจะมีแค่ 10% เท่านั้น (หัวใจจะบีบตัวเร็วขึ้น มีผลทำให้เส้นเลือดหดตัวลง ทำให้ความดันโลหิตสูง
แผนรายงานการฟอกเลือด (ตัวชี้วัด)
- ไปถึงเป้าหมาย - จะทำให้สุขภาพดี
1. ความดันก่อนฟอก ไม่เกิน 140/90 และไม่ต่ำกว่า 100/60 ความดันหลังฟอก ไม่เกิน 140/90 และไม่ต่ำกว่า 100/60 หากอยู่ในระดับนี้หัวใจจะทำงานปกติ หากสูงเกินกว่านี้ หัวใจจะทำงานหนัก และหากต่ำกว่านี้หัวใจจะทำงานน้อย
- ระยะเวลาขณะฟอกเลือด ความดันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่จะ บวกลบได้ 20 มิลลิเมตรปรอทจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ
- แต่หากขณะฟอกความดัน 140/90 สูงถึง 160/90 ต้องระวังเส้นเลือดแตกหรือตีบ
- ในการฟอกเลือดทุกครั้งจะต้องถามข้อมูลกับพยาบาลทุกครั้ง
- ความดันจะเปลี่ยนแปลงมากหรือน้อยระหว่างฟอกเลือด ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดึงออก
- เปลี่ยนแปลงจากยาความดันที่ถูกฟอกออกไป หากสูงขึ้นเรื่อยๆจะต้องขอยาความดันประเภท เนฟราปีน (Nelapine 5 mg.) เป็นยาความดันที่ออกฤทธิ์ในระยะสั้น
2. น้ำหนักก่อนฟอก ต้องไม่เกิน 1 กิโลกรัมต่อ 1 วัน หัวใจ และ ความดันโลหิตจะทำงานปกติไม่เกิดหัวใจโต หรือความดันโลหิตสูง
3. น้ำหนักที่เหมาะสมกับตัวเรา (Dry weight) หากภายใน 1 เดือนลดลง 1-2 กิโลกรัมจะต้องดูว่าเรามีส่วนผิดปกติในร่างกายหรือไม่ หากลดผิดปกติมากอาจจะเป็นมะเร็งได้ ควรจะไปตรวจร่างกายดู
4. โปแตสเซียม (Potassium) ต้องไม่เกิน 4.5 หากเกินจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ ทำให้ระบบประสาทช้า อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ควรปรับการกิน ผัก และผลไม้
5. ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ต้องไม่เกิน 5.5 เป็นตัวเกลือแร่ที่ใช้สร้างกระดูกคู่กับแคลเซียม
อัตราส่วนตามธรรมชาติ
Calcium * Phosphate ต้องไม่เกิน 50-55
· หากสูงจะจับตามเนื้อเยื่อต่างๆ ถ้าแคลเซียมเกาะที่ลิ้นหัวใจ จะเป็นอันตราย และหากเกาะที่ผิวหนัง จะทำให้เกิดอาการคัน ถ้าเกาะที่ดวงตา ตาจะขาวและมีเส้นเลือดเกาะที่ตารอบตาจะแดง
วิธีการป้องกัน คือใช้ยาไปจับและขับออกทางปัสสาวะ และลดฟอสเฟต
6. แคลเซียม (Calcium) ต้องอยู่ระหว่าง 9-10 หากต่ำจะทำให้กระตุ้นพาราไธรอยด์ให้ทำงานหนัก (จะสลายกระดูกทำให้เกิดภาวะกระดูกผุ)
ตัวสร้างกระดูก
- เกลือแร่
- แคลเซียม มีความสำคัญต่อการทำงานของกระดูกและกล้ามเนื้อ
- ฟอสฟอรัส ถ้าต่ำจะดึงแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้กระดูกบาง
- วิตามินดี (Vitamin D) จะช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้
- พาราไทรอยด์ฮอร์โมน จะต้องอยู่ในระดับเหมาะสม
ผิวหนังจะเป็นตัวสร้างวิตามินดี และจะแปลงเป็นตัวสร้างที่ตับ แต่จะต้องผ่านการสังเคราะห์ที่ไตก่อน แต่คนที่เป็นโรคไตไม่สามารถสังเคราะห์ได้ดังนั้นจะต้องกินวิตามินดีแทน
-พาราไธรอยด์ฮอร์โมน มากับ แคลเซียมและฟอสฟอรัส จะต้องมีระดับที่ปกติไม่เกิน 150-200 วิธีการยับยั้งคือกิน วิตามินดี เพื่อยับยั้งการทำงานของพาราไธรอยด์ ตัวสำคัญที่ต้องควบคุม คือ ฟอสฟอรัส หากพาราไธรอยด์ต่ำ ก็จะไม่มีการสร้าง ทำให้กระดูกอ่อนได้
- ภาวะซีด (Hematokit) จะต้องอยู่ระหว่าง 33 - 36 เปอร์เซ็นต์ หัวใจจะทำงานปกติ
- ธาตุเหล็ก (Ferritin) จะต้องมีธาตุเหล็กเพียงพอกับร่างกาย ในคนไข้โรคไตแพทย์มักจะให้ FBC FeSo4 Venofer Vitamin B Folic acid ทำให้ไขกระดูกสร้างเลือดได้ และจะต้องมีฮอร์โมนอีรีโพรอยติน (สร้างไขกระดูก)
ธาตุเหล็กมีอยู่ในเม็ดเลือด คนให้เลือดบ่อยๆจะมีธาตุเหล็กสูง คนที่ฉีดยา EPO (ค่าธาตุเหล็กที่ยอมรับได้คือ 600) ร่างกายจะไม่มีธาตุเหล็ก เกณฑ์ธาตุเหล็กปกติอยู่ที่ 100-200
ในการฟอกเลือดจะต้องเสียเลือดไปประมาณ 50 ซีซี ต่อการฟอก 1 ครั้ง ทำให้เสียธาตุเหล็กไป 1 กรัม
การกินยา FBC จะดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง หากกินหลังอาหารเลยจะดูดซึมช้า
สาเหตุการขาดธาตุเหล็ก
- เสียเลือด
- สารอาหารไม่พอเพียง
- ภาวะธาตุเหล็กเกิน
- ภาวะธาตุเหล็กไม่ทำงาน
- ภาวะธาตุเหล็กต่ำ
- หากกรณี ฉีด EPO แล้ว ธาตุเหล็ก ก็มีค่าสูง เกิดจากธาตุเหล็กไม่ทำงาน (ร่างกายไม่สามารถสร้างเลือดได้) หรือเกิดการอักเสบในร่างกาย ฟอกไม่เพียงพอ เกิดจากการติดเชื้อ
- คนที่มี ไวรัสตับอักเสบ ค่าความเข้มข้นของเลือดจะสูง เพราะตับทำงานทำให้เกิดการสร้างเลือด
7. โปรตีนในเลือด (Albumin) ตัวสร้างภูมิคุ้มกัน บ่งบอกถึงภาวะโภชนาการ จะต้องมีค่าไม่ต่ำกว่า 4 หากต่ำกว่าจะทำให้ติดเชื้อง่าย หากต่ำให้กินไข่ขาว
- MPCR - ตัวบ่งบอกภาวะโภชนาการ โดยวัดจากของเสีย (0.8-1.2)
- หากสูง ของเสียเกิน
- หากต่ำ ขาดสารอาหาร
- kt/v - ตัวชี้วัดในการฟอก (วัดจากค่าของเสียในร่างกาย) คำนวณอัตราจากการกำจัดของเสีย โดย
- หากฟอก 3 ครั้ง/สัปดาห์ ค่าที่ยอมรับได้คือ 1.2 ขึ้นไป
- หากฟอก 2 ครั้ง/สัปดาห์ ค่าที่ยอมรับได้คือ 1.8 ขึ้นไป
- อัตราการฟอกเลือดที่ดี จะต้องมีเส้นเลือดที่ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมเพื่อนโรคไต ประเทศไทย