ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
มักจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยแบบกะปริดกะปรอย ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีขุ่น
หรือมีเลือดปนด้วย ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นหลังอั้นปัสสาวะนาน
โดยคนปกติกระเพาะปัสสาวะจะสามารถกักเก็บปัสสาวะได้
300
- 350 ซี.ซี.
จากนั้นผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวผ่านทางหลอดปัสสาวะ
และขับออกภายนอกในเวลาไม่เกิน 30 วินาที
ซึ่งในแต่ละวันจะปัสสาวะ 3 - 5 ครั้ง
โดยไม่มีอาการปวดหรือแสบบริเวณหลอดปัสสาวะ
ส่วนผู้ที่มีอาการปวดปัสสาวะเกินวันละ
5 ครั้ง ซึ่งไม่ได้เกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ
ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น กระเพาะปัสสาวะเล็ก ไม่สามารถกักเก็บปัสสาวะได้นาน
ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย บางรายอาจปัสสาวะทุก 1 หรือ 2 ชั่วโมง และต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนดึกมากกว่า 2
ครั้งในแต่ละคืน
ในผู้ป่วยบางราย มีกระเพาะปัสสาวะขนาดเล็กและไม่สามารถขยายตัวได้
เพราะถูกฉายแสงรักษามะเร็งปากมดลูก
บางรายเกิดจากการขยายตัวของผนังกระเพาะปัสสาวะชั้นกล้ามเนื้อ
ทำให้เก็บปัสสาวะได้ไม่มาก หรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ในมดลูก
และในหญิงตั้งครรภ์ที่มดลูกไปกดกระเพาะปัสสาวะ และยังเกิดจากการได้รับยาขับปัสสาวะในผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการรักษาโรคหัวใจ
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สาเหตุเหล่านี้ก็ทำให้ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติได้เช่นกัน
นอกจากนี้บางรายที่ปัสสาวะบ่อย
อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
ซึ่งภาวะเช่นนี้จำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่องตรวจการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
เพื่อจะได้ทราบสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
รวมความว่า
ความผิดปกติของการขับถ่ายปัสสาวะ เกิดได้จากหลายสาเหตุ การดูแลตนเองเบื้องต้น
ต้องไม่กลั้นปัสสาวะนานเกิน 6 ชั่วโมง และถ้ากระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ
ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกายโดยเร็ว
และยังช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะได้ด้วย
ที่มา
: หนังสือ ASTV
ผู้จัดการ โดย อ.นพ.ภควัฒน์ ระมาตร์