วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับหลีกเลี่ยงอาการหวัดง่ายๆ ที่เรายังไม่รู้




ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เข้าหน้าหนาว  กลางวัน ยังร้อน เผลอๆ ก็ฝนตกมาให้สับสนเล่นว่า ฤดูอะไร อากาศอย่างนี้ทำให้คนเป็นหวัดกันเยอะ ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่น่ารำคาญ โดยการป้องกันหวัดที่เรารู้กันดีนั้นทำได้หลากหลายวิธี อาทิ ดื่มน้ำเยอะๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เข้าใกล้คนที่มีอาการหวัด แต่การป้องกันแบบง่ายๆ และคาดไม่ถึง แถมไม่เหนื่อยยังมีอีกหลายประการดังที่เรานำมาฝากกันวันนี้

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อยๆ

เพียงการล้างมือบ่อยๆ ตามคำแนะนำที่ได้ยินได้ฟังกันมาก็อาจยังไม่เพียงพอเมื่อเรายังเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ แล้วนำมาแตะตามหน้าตา จมูก ปากของตัวเอง หลังการล้างมือ มีผลวิจัยชี้ชัดว่าคนที่ชอบเอามือมาแตะหน้าตัวเองบ่อยๆ มีความเสี่ยงจะได้รับเชื้อมากกว่า ดอกเตอร์อลองโซ และทีมวิจัยได้ทดลองสำรวจคนที่สถานีรถไฟใต้ดินวอชิงตัน ดี.ซี.และฟลอเรียนาโปลิศ บราซิล พบว่า คนเราจะสัมผัสสิ่งต่างๆ ในที่สาธารณะ เฉลี่ย 3.3 ครั้ง และสัมผัสหน้าตัวเอง เฉลี่ย 3.6 ครั้ง จึงมีโอกาสมากทีเดียวที่เราจะรับเชื้อไวรัสด้วยความเคยชินนี้

2.ตัดเล็บให้สั้น

สำหรับคุณสาวๆ เล็บยาวอาจเป็นหนึ่งในแฟชั่นที่ขาดเสียมิได้ แต่ซอกเล็บเป็นที่บ่มเพาะเชื้อโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ชี้ว่า สาวๆที่ไว้เล็บยาว (3 ซม.ขึ้นไป) มีอาการเจ็บป่วยด้วยเชื้อโรคได้มากกว่าสาวๆ เล็บสั้น 18 เปอร์เซนต์ เพราะเรามักใช้มือแตะหน้าตา และนำพาเชื้อโรคเข้าจมูกปากได้ง่าย

3.อย่าใช้ผ้าเช็ดมือร่วมกับผู้อื่น

บางคนอาจคิดว่าเป็นการประหยัด แต่กรณีนี้หากจำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดมือร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงมาใช้ทิชชู่ยังดีเสียกว่า หรือจะให้ดีพกผ้าเช็ดหน้าไว้เช็ดมือก็ดีไม่น้อย


4.นวดผ่อนคลาย

การทำให้ร่างกาย จิตใจผ่อนคลาย ช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรงไปด้วย ฉะนั้นการนวดผ่อนคลาย ยิ่งใช้น้ำมันนวดที่ช่วยให้จิตใจสบายจะยิ่งช่วยให้ใจเบา แล้วจิตใจที่ไม่เคร่งเครียดนี่เองที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ให้ร่างกายเจ็บป่วยได้


5.นอนพักผ่อนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืน

เพิ่มเหตุผลที่เราควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ว่า ป้องกันอาการหวัด ลงไปในลิสต์ได้เลย เพราะระบบป้องกันและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย จะทำงานได้ดีเมื่อเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ และหากบังเอิญเป็นหวัดแล้ว การนอนให้มากก็เป็นยาชั้นเลิศ เช่นเดียวกัน
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปิดทำการ 24 ธันวาคม 2555 ค่ะ




คลินิกเส้นเลือดของ  เส้นฟอกไต
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ – หมออมราภรณ์  สวัสดีค่ะ

                  สำหรับวันนี้ทางคลินิกขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า คลินิกปิดทำการ 1 วันนะคะ  จันทร์ที่ 24  ธันวาคม  2555

                  ท่านที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคเส้นเลือดขอด แบบไม่ต้องผ่าตัด สำหรับวิธีการรักษาแบบใหม่ สามารถติดต่อที่คลินิกได้ในวันเสาร์เช้า เหมือนเดิมค่ะ  หรือว่า ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.kittipanclinic.com  นะคะ  มีคำตอบเกี่ยวกับการรักษาโรคเส้นเลือดขอด ที่สามารถตอบข้อสงสัยได้หลากหลายเลยทีเดียว

          เจอกันวันอังคาร เย็น เวลา17.00 - 20.00 น. คนไข้ฉีดเส้นเลือดขอด อาจารย์กิตติพันธุ์ ออกตรวจ 18.30 – 20.00     คนไข้ หู คอ จมูก  อาจารย์อมราภรณ์ ออกตรวจ 19.00 - 20.00 ค่ะ....

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลินิกปิดทำการ 1 วันค่ะ





คลินิกเส้นเลือดของ  เส้นฟอกไต
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ – หมออมราภรณ์  สวัสดีค่ะ

     สำหรับวันนี้ทางคลินิกขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า คลินิกปิดทำการ 1 วันนะคะ  ศุกร์ที่ 21  ธันวาคม  2555

                  ท่านที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคเส้นเลือดขอด แบบไม่ต้องผ่าตัด สำหรับวิธีการรักษาแบบใหม่ สามารถติดต่อที่คลินิกได้ในวันเสาร์เช้า เหมือนเดิมค่ะ  หรือว่า ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.kittipanclinic.com  นะคะ   มีคำตอบเกี่ยวกับการรักษาโรคเส้นเลือดขอด ที่สามารถตอบข้อสงสัยได้หลากหลายเลยทีเดียว
          
                   เจอกันวันเสาร์เช้า  เวลา 09.00 – 12.00 น. คนไข้ทั่วไป อาจารย์กิตติพันธุ์ ออกตรวจ 10.30 – 12.00 ค่ะ....

วันที่ 20 ธ.ค. 55 อ.กิตติพันธุ์ งดออกตรวจที่คลินิกค่ะ



คลินิกเส้นเลือดขอด เส้นฟอกไต
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์ สวัสดีค่ะ



                สำหรับวันนี้ทางคลินิกขอเรียนให้คนไข้ ของอาจารย์กิตติพันธุ์ ฤกษ์เกษม ให้ทราบว่า อาจารย์งดออกตรวจที่คลินิก นะคะ เนื่องจากท่านติดราชการ ณ ต่างจังหวัดค่ะ

                 หากประสงค์จะตรวจกับอาจารย์ ขอให้ติดต่อทางคลินิกได้อีกครั้งในวันเสาร์ที่ 22  ธันวาคม  2555  เวลา 09.00 - 12.00 น. ค่ะ



วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลินิกเปิด วันที่ 10 ธันวาคม 2555




คลินิกเส้นเลือดขอด  เส้นฟอกไต  

By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์

             ทางคลินิกขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า  คลินิกจะเปิดทำการ ในวันจันทร์ ที่ 10 ธันวาคม  2555  ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ   และจะเปิดให้บริการตามปกติ ในวันอังคาร นะคะ
         
             วันหยุดยาว ขอให้เที่ยวสนุก เดินทางปลอดภัยกันค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เส้นเลือดขอด โดยไม่ต้องผ่าตัด





คลินิกที่ให้บริการรักษาโรคเส้นเลือดขอด เส้นเลือดฝอย และแผลเรื้อรังที่เกิดจากหลอดเลือดดำเสื่อม โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคหลอดเลือดโดยเฉพาะ เน้นที่การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด

สามารถดูรายละเอียดได้ที  www.kittipanclinic.com  สามารถตอบทุกคำถามเกี่ยวกับเส้นเลือดขอดที่คุณ สงสัยได้ ....

5 โรคอันตรายที่เกิดจากการนอนไม่พอ



หลายท่านอาจจะกำลังเผชิญกับปัญหาการนอนไม่พอที่ทำให้รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า มีงานวิจัยมากมายหลายชิ้นบ่งบอกว่าการนอนไม่พอนำพาซึ่งโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากมายหลายอย่างดังนี้
โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
จากการศึกษาในปี 2010 เรื่องการนอนหลับจากนิตยสารทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งทำการวิจัยข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนจำนวน 30,397 คน พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 60 ปีที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 2 เท่า

เบาหวาน
จากการวิจัยที่ค้นพบโดยนิตยสารเบาหวานในปี 2011 ของมหาวิทยาลัยชิคาโกและ มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น พบว่า คนที่เป็นเบาหวานและมีการนอนหลับที่ไม่เพียงพอจะส่งผลให้ระดับกลูโคสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการเพิ่มของระดับอินซูลินสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ดังนั้น คนที่เป็นโรคเบาหวานที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับจึงเป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะระดับการเพิ่มของกลูโคสจะเพิ่มขึ้นถึง 23% และระดับอินซูลินในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น 48% แต่ในทางตรงกันข้ามการนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

มะเร็งเต้านม
การวิจัยของมหาวิทยาลัย Tohoku ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเก็บข้อมูลจาก 24,000 คน พบว่าผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีภาวะเสี่ยงถึง 62% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ในขณะที่คนที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมง มีความเสี่ยงน้อยกว่าถึง 28%

ปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011 งานวิจัยของรัฐนิวอิงแลนด์ ที่ทำงานวิจัยกับชายหญิงวัยกลางคนจำนวน 4,145 คน พบว่า คนที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี จะเพิ่มความเสี่ยงถึง 80-90% ที่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆในเวลากลางคืน ผลวิจัยชี้ชัดว่าการนอนน้อยมีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
มะเร็งลำไส้
จากการศึกษา คนจำนวน 1,240 คน ที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2011 พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน 47% มักมีอาการที่จะก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ดูเหมือนว่าการนอนไม่พอจะส่งผลร้ายมากมายต่อสุขภาพ ดังนั้นพยายามนอนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อร่างกายจะฟื้นฟูสภาพ สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และสามารถรับงานในวันใหม่ที่จะมาถึงได้ จำไว้ว่าปัญหาของวันใดก็เพียงพอสำหรับวันนั้น
 “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” (มัทธิว 6:34)


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

เสริมแคลเซียมตามวัย




             รู้ๆ กันอยู่ว่า แคลเซียม มีประโยชน์แก่ร่างกาย เพราะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่พุกร่อนง่าย ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ก็มีงานวิจัยที่เผยว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือน และมะเร็งลำไส้ ดังนั้น การเสริมสารอาหารตัวนี้ให้แก่ร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่อีแมกกาซีนก็อยากให้คุณคำนึงถึงด้วยว่า ในแต่ละวัยก็ควรได้รับปริมาณของแคลเซียมที่แตกต่างกันไป

วัยเด็ก
ลูกหลานของคุณมีความต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเด็กอายุ 1-10 ปี ควรได้รับแคลเซียมราว 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน ขณะที่ส่วนอื่นๆ จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสมแคลเซียมในเด็กที่หัดพูดจะค่อนข้างช้าแต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งการศึกษาพบว่า ถ้าปริมาณแคลเซียมในร่างกายเด็กมีต่ำจะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้
                      สำหรับสิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูกให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

 วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับแคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าความต้องการของร่างกายอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า จึงควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ต้องการ เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับแคลเซียมตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้
วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้น

ที่มา : สยามดารา

เคล็ดลับในการออกกำลังกายสมอง




            เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องของ ใจนั้นเป็นเรื่องของนามธรรม แต่ สมองนั้นเป็นรูปธรรมของสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา แต่พวกเรากลับมักลืมดูแลสิ่งที่สำคัญที่สุดสองอย่างนี้ มัวแต่ใส่ใจกับสรีระ ฐานะการงานและการเงิน ฯลฯ เสียมากกว่า
            
               วันนี้กลับมาดูแลตัวเองกับเรื่องของสมองที่เป็นเทรนด์พัฒนาตนเองจากฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่าค่ะ เพราะบอสใหญ่ผู้สั่งการร่างกายทุกส่วนอย่างสมองนั้นก็ต้องการการออกกำลังกายเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นไม่เแพ้อวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และการออกกำลังกายสมองที่ว่านั้นความจริงก็คือการกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวนั่นเอง

 เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ - การนำตัวเองเข้าไปเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ อย่างการเรียนดนตรี เรียนภาษา หรือทำกิจกรรมใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นให้สมองเกิดการเรียนรู้ ช่วยให้สดชื่น ไม่แก่เร็ว บางคนบอกว่าควรให้ผู้สูงอายุเรียนภาษาเพื่อไม่ให้ท่านมีอาการหลงลืม ส่วนบางท่านก็เลือกการท่องเที่ยว เพราะการไปยังที่ ๆ ไม่เคยไปก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกง่าย ๆ ที่ช่วยให้สมองกระปรี้กระเปร่า ที่เขาเรียกว่าไปพักสมอง ความจริงแล้วเป็นการชาร์จพลังให้สมองต่างหาก
ออกกำลังกายสมอง - นูโรบิคส์คือการออกกำลังกายสมองที่เน้นการประสานการรับรู้ทั้งห้าของร่างกาย คือตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส และอารมณ์เข้าด้วยกันเพื่อช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัวและมีการพัฒนา สิ่งที่นักวิชาการแนะนำคือการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ปิดตาใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหารโดยไม่คุย หรือทำสิ่งที่แปลกไปจากปกติ เช่น ไปทำงานด้วยเส้นทางใหม่ รับประทานอาหารหรือจับเม้าส์คอมพิวเตอร์ด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าใหม่ที่ไม่เคยไป เป็นต้น เพราะการทำอะไรตามความเคยชินนั้นจะทำให้สมองของเราเฉื่อยชาลงเรื่อยๆ

การอ่าน งานอดิเรก และเกมช่วยได้ - มีงานวิจัยรายงานว่าการอ่านหนังสือไม่ว่าแนวไหน (โดยเฉพาะแนวแฟนตาซี และแนวสืบสวน) การทำงานอดิเรก และการเล่นเกมประเภทครอสเวิร์ดส ต่อคำ จะช่วยให้ไม่หลงลืมเมื่ออายุมากได้ เนื่องจากสมองได้ทำงาน ใช้ความคิด
นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้ออกกำลังกายนิ้วอยู่เสมอ อาทิ การเล่นเปียโน ดีดกีตาร์ หรือบริหารนิ้วโดยพับข้อนิ้วชี้และนางพร้อมกัน สลับกับพับข้อนิ้วกลางและก้อย เนื่องจากมือของคนเราเต็มไปด้วยเส้นประสาทและเส้นเลือดที่สัมพันธ์ไปกับการทำงานของสมอง

Exercise สมองยามเช้า เท้าก็เป็นแหล่งรวมประสาทและเส้นเลือดของร่างกายอีกจุดหนึ่ง จึงเป็นอวัยวะที่ควรให้ความใส่ใจไม่น้อย จึงมีคำแนะนำให้บริหารเท้าเพื่อเป็นการกระตุ้นสมองมาฝากกัน โดยหลังจากตื่นนอนแล้ว ก่อนลุกจากที่นอนค่อย ๆ บริหารนิ้วเท้า ขยับนิ้วหัวแม่เท้าขึ้นและลง และขยับเท้าเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนลุกไปทำกิจวัตรต่าง ๆ คุณจะรู้สึกได้ว่าเช้าวันนั้นสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมที่จะทำงานมากขึ้น

ฟังเพลงคลาสสิค มีผลวิจัยชี้ชัดว่าการฟังเพลงคลาสสิค โดยเฉพาะเพลงของโมสาร์ทนั้นจะช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น ช่วยพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ และความมีเหตุผล ช่วยให้เด็กเก่งเลขขึ้น ในเยอรมันก็มีการเปิดคลินิกรักษาเด็กออทิสติกด้วยเพลงโมสาร์ทอีกด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทบาท “คุณพ่อ” ที่สำคัญ ในการช่วยคุณแม่หลังคลอด




บทบาทของคุณพ่อ มีความสำคัญอย่างไร 

1. ลดภาวะซึมเศร้าให้แม่หลังคลอด
              คุณแม่ที่ดูแลลูกเพียงลำพงอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้ เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ความเหนื่อยล้าจากการให้นมและดูแลลูก 24 ชั่วโมง คุณพ่อสามารถช่วยอุ้มลูก โอบกอด หรือนวดผ่อนคลาย จะทำให้คุณแม่มีกำลังใจ และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

2. ช่วยให้นมแม่ไหลออกมาได้ดี
หลังคลอด คุณแม่จะเหนื่อยล้า อ่อนเพลียและมีภาวะเครียด หากพักผ่อนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อการไหลของนมแม่ ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการให้นม (โปรแลคติน/อ๊อกซิโทซิน) ความเรียดจะทำให้ผลิตน้ำนมได้น้อยลง หากคุณพ่อช่วยดูแลลูกและแบ่งเบาภาระงานบ้าน เพื่อให้แม่ได้มีเวลาพัก และไม่เครียด หรือกังวลในการเลี้ยงลูก

3. เพิ่มความรักความผูกพันพ่อ-ลูก
ผลวิจัยชี้ชัดว่า พ่อที่ได้อุ้มลูกตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอด ได้โอบกอดสัมผัสอย่างทะนุถนอม หรือได้ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือจับนิ้วมือนิ้วเท้าเล่น พ่อจะมีความผูกพันกับลูกมากกว่า ไม่ใช่คุณแม่ฝ่ายเดียวที่ได้ใกล้ชิดลูก คุณพ่อก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความใส่ใจมากขึ้นเท่านั้น

4. หมดปัญหาพี่เลี้ยงเด็ก
พ่อแม่หลายท่านต้องทำงานหาเงินจนแทบไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก จึงต้องพึ่งพี่เลี้ยงแทน พบปัญหาพี่เลี้ยงเด็กทุบตี ทำร้ายเด็กอยู่บ่อยๆ เพื่อลดปัญหาดังกล่าว คุณพ่อควรจัดสรรเวลามาเลี้ยงลูกบ้าง หรือควรมองหาคนที่ไว้ใจได้ เช่น ปู่ยา ตายาย หรือยายพี่น้อง

5. เป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ลูก
ลูกสามารถเรียนรู้ จดจำ และเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ เช่น การเล่น การเล่านิทาน การร้องเพลงกล่อมลูก จะทำให้ลูกรับรู้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน ซึ่งคุณพ่อสามารถช่วยเติมความสุขนี้ได้ คุณพ่อคือต้นแบบที่ดีของลูก เมื่อลูกเติบใหญ่ ก็จะเป็นพ่อแม่รุ่นใหม่ที่เป็นแบบอย่างที่ดีจากรุ่นสู่รุ่น

"สามี มีบทบาทเป็นพ่อในการดูแลลูกร่วมกับแม่มากขึ้น เริ่มตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ คลอดและหลังคลอด คุณพ่อควรลามาช่วยคุณแม่หลังคลอดทันที เพราะ 15 วันแรกสำคัญที่สุด"

ที่มา : มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รักษาเส้นเลือกขอดแบบ ไม่ต้องผ่าตัด....




คลินิกเส้นเลือกขอด เส้นฟอกไต 
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์  สวัสดีค่ะ


           สำหรับท่านที่มีปัญหาเรื่อง  เส้นเลือดขอดและสนใจในการรักษาเส้นเลือดขอด
โดยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด พบกับการรักษาแบบเต็มรูปแบบ ได้แล้วได้ที่ คลินิกหมอกิตติพันธุ์  - หมออมราภรณ์ ... โทร. 053-413066 ในเวลาทำการค่ะ

         สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามดูได้ที่  http://www.kittipanclinic.com/    จะมีรายละเอียดต่างๆ ที่สามารถตอบข้อข้องใจให้ท่าน ได้ค่ะ...

คลินิกปิด วันพ่อ นะคะ



คลินิกเส้นเลืิิอดขอด เส้นฟอกไต 
By: คลินิกหมอกิตติพันธุ์ - หมออมราภรณ์ สวัสดีค่ะ

           ทางคลินิกขอเรียนให้ท่านทราบว่า คลินิกจะปิดทำการ ในวัน "พ่อ"  วันที่ 5 ธันวาคม  2555 นี้นะคะ
และจะเปิดทำการตามปกติในวันพฤหัสบดี ที่ 6 ช่วงเย็นคะ

           ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุด วันพ่อ นะคะ อย่าลืมบอกรักพ่อด้วยค่ะ....


วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คลินิกจะปิดทำการ 23 พ.ย. 55





คลินิกเส้นเลือกขอด  เส้นฟอกไต
By : คลินิกหมอกิตติพันธุ์ – หมออมราภรณ์

ทางคลินิกขอเรียนให้ท่านทราบว่า คลินิกจะปิดทำการ 1 วันนะคะ  คือวันศุกร์ที่ 23  พ.ย. 55  และจะเปิดให้บริการตามปกติในวันเสาร์ ที่ 24 พ.ย. 55 เวลา 09.00 – 12.00 น. ค่ะ



วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วันนี้คลินิกเปิดทำการแล้วนะคะ...




           สวัสดีค่ะ หลังจากที่คลินิกได้หยุดอย่างกระทันหัน ไปต้องกราบขออภัยคนไข้ทุกท่านด้วยนะคะ  วันนี้คลินิกเปิดทำการตามปกติแล้วค่ะ  เวลา 17.00 - 20.00 น.

               สำหรับท่านที่ต้องการปรึกษา กับ ศ.กิตติพันธุ์  ฤกษ์เกษม  อาจารย์จะออกตรวจ ตั้งแต่เวลา 18.00 เป็นต้นไปค่ะ

              อ.อมราภรณ์  ฤกษ์เกษม  ออกตรวจ เวลา 19.00 เป็นต้นไปนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คลินิกปิดทำการ วันที่ 12 -15 พ.ย. 55




            ทางคลินิกขอเรียนให้ท่านทราบว่า คลินิกจะปิดทำการ ระหว่างวันที่ 12 - 15 พฤศจิกายน  2555  นะคะ

             และจะเปิดให้บริการตามปกติในวันศุกร์ที่ 16  พฤศจิกายน 2555  เวลา 17.00 - 20.00 น. 

           

ข้อน่ารู้ของ ยาหยอดหู




สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหู และได้รับยาหยอดหู อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเก็บรักษา และผลข้างเคียงในการใช้ สำหรับคำถามยอดฮิตที่ได้รับการถามเกี่ยวกับยาหยอดหู คือ
1.อยากทราบว่ายาหยอดหูเมื่อเปิดใข้แล้วจะเก็บไว้ได้นานหรือไม่
2.หลังจากเปิดแล้วควรเก็บไว้ที่ใด
3.การใช้ยาหยอดหูและแคะหูบ่อย ๆ จะมีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง 


คำตอบโดย นพ.ณวัฒน์ วัฒนชัย  

ไม่นานครับ ยาชนิดที่มีสารกันบูดอยู่ด้วย ก็ไม่ควรจะเกิน 1 เดือน (แต่ยาบางชนิดก็ระยะเวลาสั้นกว่านั้น โดยเฉพาะยาบางตัวที่ผสมกันในแต่ละโรงพยาบาล) 
ถ้าไม่ลำบากก็เก็บไว้ในตู้เย็น แล้วมายืนหยอดกันหน้าตู้เย็นก็ได้ครับ 
ไม่ควรแคะหู หรือใช้ไม้พันสำลีนะครับ หมอหูคอจมูกบางท่านเคยบอกกับผมว่า ไม่ควรเอาอะไรที่เล็กกว่าข้อศอกใส่เข้าไปในรูหู - ก็คือ - ไม่ต้องแคะกันดีกว่า เพราะกลไกของร่างกายตามปกติ ก็จะมีการขับขี้หูออกมาเองอยู่แล้ว
ผลข้างเคียง - กลไกการกำจัดขี้หูจะเสียไป, ถ้าแคะไม่ดีก็จะยิ่งดันเอาขี้หูบางส่วนลึกเข้าไปอีก และอาจบวมเมื่อถูกน้ำ ทำให้ปวดได้ครับ 

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก  Thaiclinic.com

ภาวะโลหิตจาง ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง



ภาวะโลหิตจาง ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

สาเหตุ
       ภาวะโลหิตจางในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีสาเหตุที่สำคัญได้แก่ร่างกายสร้างฮอร์โมน(Erythropoietin:EPO)ในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง และจากการขาดธาตุเหล็กระดับค่าความเข้มข้นของเลือดที่เหมาะสมตามตามมาตรฐานการรักษา คือ 33-36 %ถ้ามากกว่าหรือน้อยกว่านี้จะทำให้มีโรคแทรกซ้อนหรือเสียชีวิตเพิ่มขึ้น

อาการ
  • หน้ามืด อ่อนเพลีย เวียนศีรษะทำให้รบกวนกิจวัตรประจำวันกิน-นอน-พักผ่อน ซีดเป็นลมง่าย วูบ
  • เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่ายเช่นเดินขึ้นบันได ทนต่ออากาศหนาวเย็นได้น้อย
  • ลิ้นเลี่ยน กินไม่อร่อย
  • นอนไม่ค่อยหลับ
  • กิจกรรมทางเพศลดลง


อันตรายจากภาวะซีด
  • หัวใจห้องล่างซ้ายโต หัวใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
  • เพิ่มอัตราการตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย


การรักษา
                 มีอาการสงสัยว่าจะเป็นโลหิตจางควรไปพบแพทย์เพื่อรับวินิจฉัยหากมีภาวะขาดสารดังกล่าวจริงแพทย์จะให้การรักษาโดย
  • ให้ธาตุเหล็กเสริม มีทั้งรูปแบบกินและแบบฉีด การกิน เป็นวิธีที่ง่าย สะดวก ราคาถูก ขนาดที่ทานคือ 200มิลลิกรัม วันละสามครั้ง ปัญหาคือในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมักมีการดูดซึมเหล็กที่ทางเดินอาหารได้ไม่ดี อาจถูกรบกวนการดูดซึมโดยยาบางชนิดเช่น แคลเซียม อลูมิเนียม ยาลดกรด หรือมีการสูญเสียเลือดในทางเดินอาหาร
  • ให้ฮอร์โมน(EPO)ฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไขกระดูกป้องกันภาวะโลหิตจาง
  • ให้เลือดในรายที่ซีดมาก แต่การให้เลือดเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี และไวรัสเอดส์ อาจทำให้เกิดโอกาสสลัดไตในการปลูกถ่ายไต ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการให้เลือด ในผู้ที่มีแผนจะปลูกถ่ายไตในอนาคต


ข้อสังเกต แม้จะมีวิธีในการดูแลภาวะซีดหลายแนวทางแต่วิธีที่คุ้มค่าที่สุดคือการรับประทานธาตุเหล็กอย่างสม่ำเสมอถูกต้อง การรับประทานเหล็กอาจมีอาการท้องผูก ปวดท้อง  รู้สึกไม่สบายท้อง  อาจทำให้เบื่ออาหารได้ อาจแก้ไขโดยกินในขณะท้องว่าง 2 ชั่วโมงก่อนหรือ 1 ชั่วโมง หลังอาหาร เพื่อเพิ่มการดูดซึมหรือกินก่อนนอน
  • ภาวะที่ทำให้ฉีดฮอร์โมน EPO ไม่ได้ผล
  • ภาวะขาดเหล็กอย่างรุนแรงเพราะการสร้างเม็ดเลือดแดงต้องมีทั้งEPO และเหล็ก
  • ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์สูงจะมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ภาวะขาดวิตามินในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงเช่นโฟลิค
  • ภาวะที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อในร่างกาย
  • ภาวะของเสียคั่งจากขาดฟอก
  • ผู้ที่ทานยาจับฟอตเฟตเช่นอลูมิเนียม
  • ผู้ที่มีการสูญเสียเลือดบ่อยครั้ง

การป้องกันภาวะซีด
  • ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและยาบำรุงเลือดเพียงพอ เช่นโฟลิค
  • รับประทานเหล็กอย่างถูกต้อง ทั้งขนาดและวิธีการรับประทาน ตามแพทย์สั่ง
  • ไม่ควรงดการฟอกเลือด
  • แจ้งให้พยาบาลทราบถ้ามีเลือดออกในร่างกายหรือเป็นแผลตามร่างกาย เช่น อาการเลือดออกตามไรฟัน มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหารอุจจาระเป็นสีดำ หรือเป็นริดสีดวงทวารจะมีเลือดขณะอุจจาระ มีปัสสาวะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อเป็นต้น ในผู้หญิงควรแจ้งทุกครั้งที่มีประจำเดือน
  • ผู้ป่วยทานยาละลายลิ่มเลือดควรแจ้งให้ทราบด้วย
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5หมู่ งดอาหารรสจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย

เป็นแผลร้อนในบ่อย ทำอย่างไร





 อาการแผลร้อนในบ่อยๆ จะทำอย่างไร เนื่องจากเป็นการสร้างความลำคาญเป็นอย่างยิ่ง และเป็นอุปสรรคในการรับประทานอาหารของเราด้วย เวลาพูดมักจะมีกลิ่นปาก ซึ่งทำให้ขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม จะทำอย่างไรดี ......

คำตอบโดย ทพญ.สุจิตรา จิรกุลวัฒนาพร ทันตแพทย์

        เนื่องจากแผลร้อนในนั้น สาเหตุของการเกิดที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดคะ  แต่สงสัยว่าเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสตัวหนึ่งตัวใดเป็นสาเหตุทำให้เกิด โดยระยะเวลาที่เป็นมักอยู่ในช่วง 7- 14 วันคะ ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของแผลคะ 

     แผลชนิดนี้ เมื่อหายแล้วมักจะเป็นใหม่อีกอยู่เรื่อยๆได้คะ ส่วนการรักษา ก็จะขึ้นอยู่กับบุคคลและความรุนแรงของโรคคะ ไม่ควรใส่ยาผง หรือยาที่มีฤทธิ์กัดแผล เพราะจะทำให้อาการของแผล รุนแรงยิ่งขึ้นหรือแผลอาจหายช้ากว่าเดิมได้คะ จริงๆแล้ว แผลร้อนในนี้สามารถหายเองได้คะ 

     สำหรับการปฏิบัติตัวนั้น ช่วงนี้ ควรให้ ทานอาหารอาหารที่มีประโยชน์ และควรพักผ่อนให้เพียงพอคะโดยในระหว่างที่เป็นเราอาจใช้ยาทาพวกลดอาการระคายเคืองของแผล เช่นพวก Kenalogก็ได้คะ

     แล้วก็ควร หมั่นดูแล รักษา ความสะอาดของช่องปากและฟันให้ดีด้วยคะ เท่านั้นหล่ะคะ อีกไม่กี่วัน แผลร้อนในก็จะหายเองคะ

ขอขอบคุณที่มาจาก  เว็บไซต์ ไทยคลินิคดอมคอม

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อ .ความดันต่ำ หน้ามืด เวียนศีรษะ





เราจะดูแลตัวเองอย่างไร หรือว่าสังเกตุอย่างไรเมื่อมีความดันต่ำ (ความดันตก) หน้ามืด เวียนศีรษะ ...

  • ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง, ปวดท้องหรืออาเจียนรุนแรง, ถ่ายอุจจาระดำ, ใจหวิวใจสั่น, ชีพจรเต้นเร็ว, เหงื่อแตกท่วมตัว, หรือลุกนั่งมีอาการเป็นลม ต้องไปหาหมอโดยเร็ว...
  • ถ้าไม่มีอาการในข้อ 1 ให้ปฏิบัติดังนี้

ให้นอนลงสักครู่ แล้วลุกขึ้นใหม่ โดยลุกช้าๆ อย่าลุกพรวดพราดเช่น ค่อยๆ ลุกจากท่านอนเป็นท่านั่ง แล้วนั่งพักสักครู่ ขยับและเกร็งขาหลายๆ ครั้ง, แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน, ยืนนิ่งอยู่สักครู่ แล้วจึงค่อยเดิน.


  • ถ้ายังมีอาการ ให้กินยาหอม.
  • ถ้าเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ควรไปหาหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุ.
  • ถ้ามีอาการบ้านหมุน ดู บ้านหมุน_(เห็นบ้านหรือสิ่งรอบตัวหมุน).


การป้องกัน
ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นทีละน้อย, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ, และดื่มน้ำมากๆ.

ขอบคุณ นิตยสาร หมอชาวบ้าน ภาพอินเทอร์เนต

ปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยตัวเอง...เมื่อ ของเข้าหู...



ทำอย่างไรเมื่อ...ของเข้าหู...

          ไม่ว่าจะเป็นแมลง หรือว่าสิ่งของเล็กๆ ก็สามารถเข้าไปในหูของเราได้ โดยไม่ทราบสาเหตุแล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อเป็นการปฐมพยาบาลในเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์...


  • ตะแคงศีรษะ หันหูข้างที่มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ลงด้านล่าง ตบศีรษะด้านบนเบาๆ ให้สิ่งแปลกปลอมหล่นออกมา.
  • ถ้าไม่ออก หยอดน้ำมันพืช 3-4 หยด เข้าในหูข้างนั้น แล้วทำข้อ 1 ซ้ำ.
  • ถ้าไม่ออก ห้ามแคะ เพราะจะดันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปลึก, ควรรีบไปหาหมอ.




ขอบคุณข้อมูล จาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ภาพจาก Internet

ดูแลสุขภาพตัวเอง เมื่อ...ก้างติดคอ หรือสงสัย




ดูแลสุขภาพตัวเอง เมื่อ...ก้างติดคอ หรือสงสัย
 
       สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการรับประทานปลา  เมื่อเกิดอาการ ก้างติดคอ หรือสงสัยว่าก้างติดคอ มีวิธีที่ดูแลสุขภาพตัวเองเบื้องต้น ดังนี้ค่ะ


  • กลืนก้อนข้าวสุก หรือกล้วยทั้งคำ หรือก้อนขนมปังนิ่มๆ โดยไม่ต้องเคี้ยว.
  • ถ้ายังไม่หลุด กลืนน้ำส้มสายชูเจือจาง ก้างจะอ่อนลงได้.
  • ถ้ายังไม่หลุด ควรไปหาหมอ.

ขอบคุณข้อมูล จาก นิตยสารหมอชาวบ้าน ภาพจาก Internet


ดูแลตัวเอง..เมื่อเป็นไซนัสอักเสบ....





            เมื่อสงสัยเป็นไซนัสอักเสบ เช่น ปวดใบหน้า มีน้ำมูกหรือเสมหะเป็นหนอง คัดแน่นจมูกเรื้อรัง มีอาการ เป็นไข้หวัดนานเกินปกติควรปรึกษาแพทย์

            เมื่อตรวจพบว่าเป็นไซนัสอักเสบ ก็ควรกินยาตามที่แพทย์สั่งให้การรักษาอย่างจริงจัง และติดตามผลการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

            ไม่ควรรักษาด้วยการซื้อยาชุดกินเองหรือรักษาแบบพื้นบ้าน อาจไม่ได้ผล หรือมีผลข้างเคียงร้ายแรงได้

นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตัวดังนี้


  • ดื่มน้ำมากๆ
  • สูดดมไอน้ำอุ่น และล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (ในกรณีที่แพทย์แนะนำและสอนให้ทำ)
  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และมลพิษทางอากาศ
  • งดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบินในขณะที่เป็นไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบกำเริบ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรกินยาแก้คัดจมูก ได้แก่ สูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ครั้งละ 1-2 เม็ดก่อนเดินทาง และซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงระหว่างเดินทางระยะไกล
  • หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำนานๆ เนื่อง จากคลอรีนในสระอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุจมูกและไซนัสได้

การป้องกัน

หมั่นดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง (เช่น กินอาหาร สุขภาพ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คลายเครียด) ป้องกันอย่าให้เป็นไข้หวัดบ่อย และถ้าเป็นโรคหวัดภูมิแพ้ควรรักษาอย่างจริงจัง ก็อาจลดความเสี่ยงต่อการเป็ไซนัสอักเสบลงได้



ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 332 เดือน/ปี: ธันวาคม 2006 คอลัมน์: สารานุกรมทันโรค นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

ทำอย่างไร เมื่อเป็นไซนัสอักเสบ (โพรงจมูกอักเสบ)




จะทำอย่างไรเมื่อเป็นไซนัสอักเสบ (โพรงจมูกอักเสบ) 

1.  ลดหรือกำจัดอาการคัดจมูก อาการคัดจมูก และกำจัดน้ำมูกโดยหาท่าที่น้ำมูกออกได้ดีที่สุด แล้วอยู่ในท่านั้นบ่อยๆ ถ้าเป็นเรื้อรัง ควรใช้น้ำเกลือสวนล้างจมูกตามคำแนะนำของหมอ.

2.  ถ้าปวดหัว หรือมีไข้ ให้กิน ยาแก้ปวดลดไข้.

3.  ถ้าน้ำมูกเป็นหนอง ควรไปหาหมอเพื่อพิจารณาให้ ยาปฏิชีวนะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื้อรัง อาจต้องกินติดต่อกันนานอย่างน้อย 3-4 สัปดาห์.

           การป้องกัน ออกกำลังกายเป็นประจำ ระวังไม่ให้คัดจมูกหรือเป็นหวัดบ่อยๆ.

ขอบคุณ

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 332
เดือน/ปี: ธันวาคม 2006
คอลัมน์: สารานุกรมทันโรค
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

เลือกรองเท้าอย่างไร...ให้เหมาะกับเท้า





คำถามที่เป็นประโยชน์จากนิตยสารหมอชาวบ้านเกี่ยวกับการเลือกรองเท้าให้เหมาะกับเท้าของแต่ละคน

ถาม : นิรมล/นครราชสีมา

           เวลาใส่รองเท้าแล้วจะปวดนิ้วและอุ้งเท้ามากเลยค่ะ เคยลองเปลี่ยนมาหลายแบบแล้วก็ไม่หาย มีวิธีการเลือกรองเท้าให้เข้ากับรูปทรงของเท้าตัวเองและเลือกให้เหมาะกับสุขภาพเท้าอย่างไรบ้าง

ตอบ : พญ.นวพร ชัชวาลพานิชย์

            การเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับเท้ามีหลักอยู่ว่า ใส่แล้วสบาย เดินได้ทั้งวัน ถ้ารองเท้าที่สวมใส่ไม่เหมาะสม เช่น ใส่รองเท้าหน้าแคบหรือรองเท้าส้นสูง อาจทำให้เกิดอาการปวดเท้าหรือมีความผิดปกติกัยรูปเท้า เนื่องจากเท้าถูกบีบรัดซึ่งลักษณะเท้าของแต่ละคนจะแตกต่างกัน เช่น

อุ้งเท้าแบน ทำให้ปวดบริเวณอุ้งเท้าส่วนกลาง เนื่องจากเอ็นซึ่งทำหน้าที่ยกอุ้งเท้าถูกดึงยืด ควรสวมรองเท้าเสริมอุ้งเท้า เพื่อพยุงไม่ให้ส้นเท้าบิดและเท้าล้มเข้าด้านใน

อุ้งเท้าสูง จะมีปัญหาปวดบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้าและส้นเท้าเพราะการรับน้ำหนักของอุ้งเท้าส่วนกลางหายไป รองเท้าจึงควรมีลักษณะเสริมอุ้งเท้าเพื่อช่วยกระจายน้ำหนักจากฝ่าเท้าด้านหน้าและส้นเท้าที่อุ้งเท้า และควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นนิ่มและมีความยืดหยุ่น

ปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำคือ ปวดฝ่าเท้าด้านหน้า ผู้ที่มีอาการนี้จึงควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย มีพื้นนิ่ม และมีหน้ารองเท้ากว้าง เพื่อลดการบีบและเสียดสีของรองเท้า

ผู้ป่วยเบาหวาน ปลายประสาททำงานผิดปกติ ทำให้เท้าชา มีนิ้วเท้าหงิกงอ ฝ่าเท้าด้านหน้ารับน้ำหนักมาก และนิ้วเท้าเสียดสีกับหัวรองเท้า จึงควรเลือกใส่รองเท้าพื้นนิ่ม มีหัวลึกและกว้าง ห้ามใช้รองเท้าคีบเพราะอาจจะทำให้เกิดแผลบริเวณร่องนิ้วเท้าโดยไม่รู้ตัว

การเลือกรองเท้า ควรเลือกคู่ที่มีขนาดพอดีตัว คือ ส้นเท้าจะชิดส้นรองเท้าพอดีและมีด้านหน้าเหลือประมาณครึ่งนิ้ว จะต้องลองสวมใส่รองเท้าทั้ง ๒ ข้างเสมอ หากชอบใส่รองเท้าแตะ ควรเลือกที่มีพื้นนิ่มและเสริมบริเวณอุ้งเท้าถ้าต้องใส่รองเท้าส้นสูควรเลือกที่ใส่แล้วโค้งรับกับฝ่าเท้า เพื่อให้เท้ามีสุขภาพที่ดี

สำหรับรองเท้าส้นสูงมากๆ ถ้าใส่ออกงาน ๒-๓ ชั่วโมง คงไม่มีปัญหา ที่สำคัญคืออย่าใส่เดินทั้งวันเพราะจะมีปัญหากับสุขภาพเท้า

               ผู้ที่ใส่รองเท้าส้นสูงจะทำให้ช่วงหลังแอ่นมาก แต่สามารถคลายกล้ามเนื้อหลังได้ด้วยตัวเอง นั่นคือ นอนหงาย กอดเข่าขึ้น และดึงให้ชิดหน้าอก ค้างไว้ (นับ ๑-๑๐ ) แล้วจึงปล่อยเข่าลง

ขอบคุณ ข้อมูลจาก นิตยสาร หมอชาวบ้าน และ ภาพจาก Internet